การทดสอบในสนามด้วยวิธี Standard Penetration Test (SPT)
การทดสอบด้วยวิธีนี้ได้พัฒนาขึ้นมาราวปี
ค.ศ. 1927
ซึ่งในปัจจุบันเป็นวิธีทดสอบที่นิยมใช้กันมากที่สุดและเป็นการทดสอบที่ประหยัดที่สุดที่จะได้ข้อมูลชั้นดินมาใช้ในการออกแบบ
โดย Bowles (Bowles 1996)
ประมาณไว้ว่า
85 – 90 เปอร์เซ็นต์ของการออกแบบฐานรากปกติในอเมริการเหนือและอเมริการใต้ใช้ข้อมูล
SPT ในการออกแบบ
การทดสอบจะอ้างอิงมาตรฐาน ASTM
D 1586 โดยมีขั้นตอนโดยสังเขปดังนี้
ตอกกระบอกแบบผ่าซีกแบบมาตรฐาน
ซึ่งมีขนาดดังรูปที่ 1 โดยให้ปลายกระบอกวางอยู่พอดีกับระดับก้นหลุมเจาะ
โดยการตอกจะใช้ตุ้มตอกที่มีน้ำหนัก 140 ปอนด์ (63.5 กิโลกรัม)
ในการตอกแต่ละครั้งจะยกตุ้มสูง 30 นิ้ว (762 มิลลิเมตร) ตกอย่างอิสระ ดังรูปที่ 2
ในการตอกจะตอกให้กระบอกจมลงในดินเป็นระยะ
18 นิ้ว โดยแบ่งระยะของกาตอกเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 6 นิ้ว ค่า SPT, N จะเป็นจำนวนครั้งของการตอก
12 นิ้วสุดท้าย หน่วยของค่า SPT, N จะเป็นครั้งต่อฟุต (Blows/ft) ที่ไม่รวมเอาจำนวนครั้งของการตอก
6 นิ้วแรก เนื่องจากดินช่วงส่วนนี้จะถูกรบกวนอย่างมากจากกระบวนการเจาะดิน
ในกรณีที่ตอกทดสอบแล้วตอกไม่ลงจะหยุดการทดสอบเมื่อ
· ตอกเกินกว่า
50 ครั้งแล้วกระบอกจมลงเพียง 150 มิลลิเมตร
· ตอกเกินกว่า
100 ครั้งแล้วเพื่อให้กระบอกจมลง 300 มิลลิเมตร
· ตอกต่อเนื่องกัน
10 ครั้งแล้วกระบอกไม่จมลงเลย
ในกรณีที่ไม่สามารถทดสอบตอกจนถึงระยะตามมาตรฐาน
จะบันทึกผลการทดสอบเป็นจำนวนครั้งของการตอกต่อระยะที่จมลงไป ตัวอย่างเช่น 70/100
หมายถึง ตอกทดสอบ 70 ครั้งแล้วกระบอกจมลง 100 มิลลิเมตร หรือ
85/4 นิ้ว หมายถึงตอกทดสอบ 85 ครั้งแล้วกระบอกจมลง 4 นิ้ว เป็นต้น
สำหรับชนิดลูกตุ้มน้ำหนักโดยทั่วไปที่มักจะใช้ในการทดสอบมีหลายชนิดดังรูปที่ 3 ซึ่งแตกต่างกันในวิธีการยกตุ้มน้ำหนักและวิธีการตอก ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพของการตอกของแต่ละผู้ผลิตแตกต่างกัน ในการออกแบบลูกตุ้มและวิธีการตอกส่วนใหญ่จะพยายามทำให้ได้ประสิทธิภาพของการตอกประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเพื่อให้ค่าที่ได้มีพลังงานที่ใช้เท่ากันจึงต้องมีการปรับแก้โดยใช้สมการที่ 1
การปรับแก้ค่า Standard penetration
ค่า
SPT, N ที่ได้จากการทดสอบในสนามอาจจะต้องมีการปรับแก้
ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีการปรับแก้
ประการแรกได้แก่การที่ขั้นตอนการทดสอบที่ไม่เหมือนกันในแต่ละภูมิภาค จึงได้มีการแปลงค่า
SPT, N ที่วัดได้ไปเป็นค่า
N60 ซึ่งเสนอไว้โดย
Skempton, 1986 ดังสมการ
โดยที่
N60 = ค่า SPT, N ที่ปรับแก้เนื่องจากวิธีและขั้นตอนการทดสอบ
Em = ประสิทธิภาพของการตอก
(ตารางที่ 1)
CB = ค่าปรับแก้เนื่องจากขนาดของหลุมเจาะ
(ตารางที่ 2)
CS = ค่าปรับแก้เนื่องจากวิธีการเก็บตัวอย่างด้วยกระบอกเก็บตัวอย่างแบบฝาซีก
(ตารางที่ 2)
CR = ค่าปรับแก้เนื่องจากความยาวของก้านเจาะ
(ตารางที่ 2)
Nmeasured = ค่า SPT, N ที่วัดได้จากการทดสอบ
ประเทศ |
ชนิดของตุ้มตอก |
วิธีการปล่อยตุ้มตอก |
ประสิทธิภาพของการตอก |
จีน |
แบบปล่อยอัตโนมัติ |
ปล่อยเป็นรอบ |
0.60 |
ญี่ปุ่น |
แบบโดนัท |
ใช้ไกปล่อยตุ้ม |
0.78 |
สหราชอาณาจักร |
แบบปล่อยอัตโนมัติ |
ปล่อยเป็นรอบ |
0.73 |
สหรัฐอเมริกา |
แบบนิรภัย |
กว้าน |
0.55 |
ตารางที่
1 ประสิทธิภาพของการตอก (Coduto 2001)
สาเหตุของการปรับแก้ |
ชนิด/ขนาด ของเครื่องมือ |
ค่าปรับแก้ |
ขนาดของหลุมเจาะ, CB |
65 ถึง 115 มิลลิเมตร |
1.00 |
เนื่องจากวิธีเก็บตัวอย่าง, CS |
วิธีการเก็บแบบมาตรฐาน |
1.00 |
เนื่องจากความยาวของก้านเจาะ, CR |
3 ถึง 4 เมตร |
0.75 |
ตารางที่ 2 ค่าปรับแก้เนื่องจากขนาดของหลุมเจาะ, หัวเก็บตัวอย่าง
และความยาวของก้านเจาะ (Coduto 2001)
การปรับแก้ประการที่สอง
สำหรับดินเม็ดหยาบ (Granular
soil) หน่วยแรงกดทับประสิทธิผลในแนวดิ่งของดิน จะมีผลต่อค่า SPT, N ดังรูปที่
4 จะเห็นว่าเมื่อ มีค่าสูงกว่า 100 kN/m2 SPT,
N ที่ได้จากการทดสอบจะมีค่าสูงเกินจริง
ในทางกลับกัน ถ้า น้อยกว่า 100 kN/m2 SPT,
N ที่ได้จากการทดสอบจะมีค่าต่ำเกินจริง